วัดจินไดจิ (Jindaiji Temple)
วัดจินไดจิตั้งอยู่ในเขตโชฟุ จังหวัดโตเกียว
วัดนี้เป็นวัดที่เก่าแก่สุดรองจากวัดเซนโซจิ (Sensoji Temple) ที่อาซากุสะ (Asakusa)ในโตเกียว ภายในมีรูปปั้นพระพุทธที่เก่าแก่สุดในฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น ชื่อ ชาเคียะมุนิ (Shakyamuni) ซึ่งได้รับการบันทึกเป็นสมบัติของประเทศในปี พ.ศ. 2560
เรานั่งรถบัสจากสถานีโชฟุ Chofu (สายเคโอ Keio) (โดยสถานีโชฟุห่างจากสถานีชินจุกุประมาณ 20 นาที โดยรถไฟด่วนพิเศษ limited express)
ภายในวัดนี้ ราได้เห็นความเป็นธรรมชาติและความเก่าแก่ที่ลงตัวซึ่งไม่ค่อยได้เห็นในโตเกียว
ภายในวัดค่อนข้างกว้างและมีจุดชมหลายจุด ถ้าเพียงจะชมจุดฮอนโด Hondo (Main hall) เบอร์ ③本堂 ในแผนที่ และ ชาคะโด Shakado เบอร์ ⑤釈迦堂 ในแผนที่ จะใช้เวลาประมาณ 30 ก็เพียงพอ แต่เราขอแนะนำให้เดินรอบๆภายในบริเวณวัดด้วย เช่น เดินชมน้ำพุ กินโซบะ ของหวาน และสวนพฤกษศาสตร์จินได (Jindai Botanical Garden) โดยเดินออกทางประตูทิศเหนือ 北門 (ทางเหนือของแผนที่)
เมื่อเดินเข้าวัดจากจะพบกับร้านโซบะ และร้านค้าต่างๆ ซึ่งให้บรรยากาศความเป็นญี่ปุ่นสมัยก่อนได้อย่างดี
บรรยากาศของธรรมชาติ ต้นไม้และแอ่งน้ำสวยงามเหมาะกับการพักผ่อนอย่างดี
ถัดจากโถงหลัก ฮอนโด Hondo จะเป็นโถงกันซันไดชิ Gansandaishi เบอร์ ④元三大師堂 ในแผนที่ ซึ่งมีรูปปั้น จิเออิไดชิ หรือ กันซันไดชิ ซึ่งมีความเชื่อกันว่าช่วยปัดเป่าสิ่งไม่ดีออกไป
บริเวณใกล้ จะเป็นรูปปั้นพระพุทธชาคะมุนิ หรือ ฮะคุโฮะ (Shakyamuni Buddha 釈迦如来像 หรือ Hakuhobutsu 白鳳仏) ซึ่งเป็นสมบัติของแถบญี่ปุ่นตะวันตก ที่แสดงถึงความงามและคุณค่าของรูปปั้นที่ได้ถูกสร้างขึ้นช่วงศตวรรษที่ 7-8 ได้อย่างดี
เนื่องจากคนญี่ปุ่นมีมารยาทเรื่องการไม่ถ่ายรูปพุทธเจ้า รูปปั้นภายในโถงวัด เราจึงไม่ได้ถ่ายรูปมา
หลังจากเที่ยวชมภายในบริเวณวัดเสร็จ เราก้อมาทานอาหารกลางวันที่ร้านโซบะ
ที่นั่งภายในร้านสามารถชมวิวต้นไม้และน้ำภายนอกได้ ทำให้เรารู้สึกผ่อนคลายไปกับธรรมชาติพร้อมการทานอาหารได้
ข้างๆร้านโซบะ มีร้านขายดังโกะ (โมจิญี่ปุ่น) เรากินมิตาราชิดังโกะ (Mitarashi dango) เป็นโมจิ 3 ก้อนเสียบไม้ย่างเตาถ่านและจิ้มซอสแบบญี่ปุ่น
หลังจากทานอาหารและของหวานเสร็จ เราไปเดินเล่นต่อที่สวนพฤกษศาสตร์จินได (Jindai Botanical Garden) ที่อยู่ทางออกทางเหนือในแผนที่
สวนพฤกษศาสตร์จินได (Jindai Botanical Garden)
สวนพฤกษศาสตร์จินไดเดินออกจากทางออกทิศเหนือของวัดจินไดจิประมาณ 5 นาที (Jindaiji Gate ในแผนที่) บัตรเข้าชมมราคาผู้ใหญ่ 500 เยน และ ราคาเด็ก (ระดับประถมขึ้นไป) 20 เยน
ดาวน์โหลดแผนที่ได้ที่นี่ here
เราเดินไปตามทางทิศตะวันตกของแผนที่จะเจอโซนสวนดอกกุหลาบ (Rose Garden) ซึ่งเป็นโซนที่มีชื่อเสียงของสวนนี้
ดอกกุหลาบหลากหลายชนิดทั่วโลกมารวมกันอยู่ในโซนนี้ ในรูปด้านล่างนี้เป็นตัวอย่างดอกกุหลาบพันธุ์มาทิลดา (Matilda) ซึ่งมาจากประเทศฝรั่งเศส
ดอกกุหลาบสีแดงนี้เป็นพันธุ์คริสเตียนดิออร์ (Christian Dior) มาจากประเทศฝรั่งเศสเช่นกัน ชื่อพันธุ์คล้ายกับแบรนด์ดัง (ไม่รู้ว่าที่มาของชื่อแบรนด์ดังนี้มาจากชื่อพันธุ์ดอกกุหลาบนี้หรือไม่)
หลังจากเดินผ่านโซนดอกกุหลาบออกไป เราเดินต่อไปที่โซนเรือนกระจกที่อยู่ในอาคาร (Large Greenhouse) เป็นโซนของพืชเมืองร้อน
ดอกสีแดงนี้อยู่ในส่วนห้องบีโกเนีย (Begonia Room) ออกดอกอย่างสวยงามและจัดวางเรียงอย่างพอดี
ดอกสีม่วงนี้คือดอกพลับพลึงธาร (suirenka) เป็นชนิดนึงของดอกบัว
เราเดินต่อไปโซนสวนดอกอาซาเลีย หรือ ดอกชวนชม (Azalea Garden) ซึ่งเป็นโซนสนามหน้าใหญ่ มองรอบเห็นกลุ่มต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบ และเดินไปต่อที่โซนซุคิยามะ (Tsukiyama – Artificial hill) มีจุดพักผ่อน เราสามารถเที่ยวชมที่สวนนี้ได้ตลอดทุกฤดูกาลในญี่ปุ่น
วัดชินไดจิและสวนพฤกษศาสตร์จินได เป็นแห่งหนึ่งที่เราได้ชมธรรมชาติพร้อมกับเรียนรู้ความเก่าแก่ของญี่ปุ่น เหมาะกับทริปหนึ่งวัน และที่สำคัญ โซบะที่นี่อร่อยมาก ขอแนะนำเลยครับ
<Official Website>
จินไดจิ Jindaiji:
สวนพฤกษศาสตร์จินได Jindai Botanical Garden: